วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

แนำนำสถานที่ท่องเที่ยวเวียดนาม Ep2

"เวียดนามกลาง"

     เมืองฮอยอัน (Hoi An) เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว่างนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
     Trieu Chau Assembly Hallในสมัยของอาณาจักรจามปา บริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าบนปากแม่น้ำทูโบน ซึ่งมีชื่อว่า ไฮโฟ โดยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานและค้าขายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย เดิมทีเมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ตัวสะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
     ฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย

     วินห์ม็อก มีสถานที่หนึ่งที่เป็นประวัติศาสตร์สำคัญของชาวเวียดนาม นั่นคืออุโมงค์หลบภัยใต้ดิน เนื่องจากการทิ้งระเบิดอย่างหนักของทหารอเมริกา ซึ่งคนทั้งหมู่บ้านช่วยกันแอบขุดในตอนกลางคืน หรือขุดในขณะที่มีเสียงปืน เสียงระเบิด ขนดินทิ้งทะเลเพื่ออำพรางไม่ให้ข้าศึกรู้ ในปี 1966
     วินห์ม็อก เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีความสำคัญในสงครามเวียดกง ใช้เวลาในการขุด 20 เดือนซึ่งสามารถนำชาวบ้านเข้าไป หลบภัยได้จำนวน 380 คน ภายในอุโมงค์นี้จะมีทั้งห้องนอน ห้องพยาบาล ห้องประชุมขนาด 50-60 คน ห้องอาบน้ำ บ่อน้ำดื่ม และชาวบ้านเหล่านี้อาศัยอยู่ในอุโมงค์ถึง ปี อีกทั้งตลอดระยะเวลาดังกล่าว มีเด็กที่เกิดในอุโมงค์นี้จำนวนประมาณ 16 คน หลังจากเสร็จสิ้นสงครามเด็กเหล่านี้ก็จะมาคอยดูแลรักษาอุโมงค์แห่งนี้ และคอยบริการนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนด้วย 

     พระราชวังเว้หรือวังหลวงแห่งเมืองเว้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ ในรัชกาลแห่งพระเจ้ายาลอง (Gia Long) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงวียน ที่ไทยมักคุ้นในชื่อ องเชียงสือ สถานที่แห่งนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของเมืองมาหลายยุคสมัย แม้ในปัจจุบันพระราชวังได้กลายสภาพจากศูนย์กลางราชอาณาจักรไปเป็นใจกลางของการท่องเที่ยวในฐานะ ใน ของมรดกโลกในเวียดนาม ไปแล้ว
     พระราชวังเว้มีกำแพงโดยรอบที่วัดความยาวได้ราว 2.5 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนในอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ เมื่อเราเดินผ่านประตูเที่ยงวัน (Cua Ngo Mon) ก็จะพบสะพานน้ำทองที่ทอดตรงเข้าไปสู่พระราชวังไท ฮวา หรือที่เรียกว่า ท้องพระโรง ใช้ต้อนรับพระราชวงศ์ชั้นสูงและทูต ที่นี่มีเสาไม้สีแดงต้นใหญ่มากมาย ทั้งหมดเขียนลายมังกรสีเหลืองด้วยเทคนิคงานเครื่องรักเขียนสีแบบเวียดนาม เมื่อทะลุผ่านไปจะพบลานกว้าง มีอาคารชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้องแบบจีนอยู่ทางขวาคือส่วนที่เป็นพิพธภันฑ์ จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของราชสำนักเวียดนาม

     ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอมของประเทศเวียดนาม ทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ส่วนทางฝั่งซ้ายและขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกและระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือนและวัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียตนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้

     ใช้เวลา 11ปี สุสานนี้สร้างในสมัยพระเจ้าไคดิงห์ กษัตริย์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน ขณะยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกก็คือพระองค์ได้มีการขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาสร้างสุสานของะระองค์เองเมื่อ คศ.1923 สร้างความเดือดร้อนและความเกลียดชังไปทั่ว พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุ ติดยา หรือสารเสพติด เช่นเดียวกับพระบิดา เมื่อ ค.ศ 1925 รวมอายุ 40 ปี จากนั้นสุสาน แห่งนี้ได้ทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน และไม่มีรัฐบาลชุดใดให้ความสนใจ ต่อมาจึงได้มีการบูรณะเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายในสุสานจะพบภาพเขียนที่สวยงามมีชื่อว่า 'มังกรในม่านเมฆเป็นภาพบนเพดาน โดยจิตรกรผู้นี้ใช้เท้าเขียน

     แม่น้ำหอม หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง กำเนิดมาจากบริเวณต้นน้ำที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมและร่วงหล่นลอยมากับสายน้ำ แม่น้ำหอมเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำจึงไม่ลึกแต่ใสสะอาด ไหลผ่านธรรมชาติที่งดงามสองฟากฝั่ง ทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม รวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน การนั่งเรือมังกรล่องลำน้ำหอมจึงนับเป็นโปรแกรมท่องธรรมชาติ มีให้เลือกหลายรูปแบบตั้งแต่ การล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อแวะขึ้นชมพระราชสุสานของเหล่าจักรพรรดิราชวงศ์เหวียน หรือล่องจากตัวเมืองเว้สู่วัดเทียนมู่เพื่อชมเจดีย์ เหลี่ยม ชั้น อันงดงาม ระหว่างทางคุณยังจะได้พบกับหมู่บ้านชาวน้ำให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านี้ใช้เรือเป็นที่อยู่อาศัย มีอาชีพจับปลา ขุดทรายในแม่น้ำมาขายให้พ่อค้าคนกลาง ส่วนในยามเย็นนั้นนักท่องเที่ยวนิยมใช้เวลาหลังอาหารค่ำลงเรือล่องลำน้ำหอม โดยเรือจะไม่ล่องไปไกลเหมือนในตอนกลางวัน แต่จะปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่มาฟ้อนรำและบรรเลงเพลงพื้นบ้านให้ฟังกันสดๆ ซึ่งในอดีตการฟ้อนรำและการบรรเลงเพลงพื้นบ้านนี้ เป็นการเล่นถวายให้กับจักรพรรดิเท่านั้น 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น